วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2561

นิยามแห่งทวารวดี-Defining Dvaravati: ต้นทางสำคัญของอารยวัฒนธรรมไทย





นิยามแห่งทวารวดี-Defining Dvaravati:
ต้นทางสำคัญของอารยวัฒนธรรมไทย

องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) สยามสมาคม มูลนิธิพิริยะ ไกรฤกษ์ และมูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ เตรียมจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการนานาชาติ ในหัวข้อ “Defining Dvāravatī” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนและค้นหาความรู้ใหม่เกี่ยวกับทวารวดีซึ่งเป็นยุคประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศไทย จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๓๐ สิงหาคม – ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐ ณ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ สวนโมกข์ กรุงเทพมหานครและการเยี่ยมชมภาคสนามในจังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดนครปฐม ๓๐ สค. – ๓ กย.นี้ อพท.จับมือสยามสมาคม มูลนิธิพิริยะไกรฤกษ์ และ หอจดหมายเหตุพุทธทาสจัดประชุมปฏิบัติการนานาชาติ
ว่าด้วย นิยามแห่งทวารวดี-Defining Dvaravati: ต้นทางสำคัญของอารยวัฒนธรรมไทย
.......................................
พันเอก ดร.นาฬิกอติกภัค แสงสนิท ผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน – อพท. (องค์การมหาชน) เปิดเผยว่าตามที่ อพท.ได้ประกาศพื้นที่พิเศษเมืองโบราณอู่ทอง เมื่อพุทธศักราช ๒๕๕๕ และได้ทำการศึกษาและพัฒนาตามลำดับมาโดยมีภาคีความร่วมมือหลายฝ่ายทั้งภาครัฐ วิชาการ เอกชนและชุมชนท้องถิ่นภายใต้เป้าหมายและทิศทางที่จะทำให้เมืองโบราณอู่ทองเป็นเมืองสร้างสรรค์การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและวิถีชีวิตดั้งเดิม
สืบเนื่องที่เมืองโบราณอู่ทองได้รับการเสนอจากนักวิชาการชั้นนำของไทย อาทิ ศ.ดร.ผาสุข อินทราวุธ และ อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดมว่าเป็นศูนย์กลางสำคัญของรัฐทวารวดี เสมือนต้นทางสำคัญของอารยวัฒนธรรมไทย กล่าวคือเป็นทั้งเมืองท่าและศูนย์กลางการค้าสำคัญของรัฐทวารวดี เป็นศูนย์กลางพุทธศาสนารุ่นแรกของรัฐทวารวดี และมีบทบาทเป็นเมืองหลวงรุ่นแรกของรัฐทวารวดี เป็นดินแดนแห่งความมั่งคั่ง มีความเกี่ยวเนื่องกับการเกิดขึ้นของเส้นทางสายไหมทางทะเล และมีการศึกษาค้นคว้ามาอย่างต่อเนื่อง จนเกิดทั้งคำถาม พบคำตอบ ตลอดจนข้อค้นพบใหม่ ๆ ตลอดมา อพท.โดยความร่วมมือกับ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ มูลนิธิพิริยะ ไกรฤกษ์ และ สยามสมาคม ในพระบรมราชูปถัมป์ จึงได้ร่วมกันจัดประชุมเชิงปฏิบัติการนานาชาติว่าด้วยอู่ทอง ในหัวข้อ “นิยามแห่งทวารวดี” เพื่อทบทวนและแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ ว่าด้วยทวารวดีตลอดจนช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประวัติศาสตร์ไทยขึ้นในระหว่างวันที่ ๓๐ สิงหาคม – ๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ ณ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ และเมืองโบราณอู่ทอง โดยมีการลงพื้นที่ศึกษา ณ วัดสุทัศน์เทพวราราม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ในกรุงเทพมหานคร, พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทองและเมืองโบราณอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี, พิพิธภัณฑ์บ้านดอนตาเพชร จังหวัดกาญจนบุรี, พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม และ แหล่งพบเรือเดินทะเลโบราณในจังหวัดสมุทรสาคร โดยมีนักวิชาการโบราณคดีชั้นนำเดินทางมานำเสนอข้อค้นพบตลอดจนข้อคิดเห็น ซึ่งแบ่งเป็น ๓ ประเด็นสำคัญ ประกอบด้วย การเริ่มต้นและโรยราแห่งทวารวดี Beginning & Decline of Dvāravatī โดย ดร.เอียน โกลฟเวอร์ นักโบราณคดีอาวุโสแห่งมหาวิทยาลัยลอนดอนผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับก่อนประวัติศาสตร์แห่งเอเชียอาคเนย์ ผู้ขุดค้นทางโบราณคดีที่บ้านดอนตาเพชรเมื่อ ๓๐ กว่าปีก่อนและเกาะติดประเด็นหัวเลี้ยวหัวต่อของประวัติศาสตร์ไทยในช่วงนี้ตลอดมา และ อ.ดร.อุเทน วงศ์สาธิต แห่งมหาวิทยาลัยศิลปากร ผู้ศึกษาค้นคว้าและอ่านจารึกเขมรโบราณแล้วพบหลักฐานสำคัญ ขอบเขตและศาสนาในทวารวดี Extent and Religion of Dvāravatī โดย ดร.สตีเฟน เมอร์ฟี่ แห่งพิพิธภัณฑ์อารยธรรมอาเซียนที่สิงคโปร์ ผู้ศึกษาว่าด้วยเสมาที่พบทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคซึ่งบอกอะไรในเรื่องนี้บ้าง คุณเบญจวรรณ ผลประเสริฐ แห่งพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติหริภุญชัย จังหวัดลำพูน จะเสนอถึงร่องรอยหลักฐานทวารวดีที่ขึ้นไปถึงเขตล้านนาโบราณ อาจารย์ฮันเตอร์ วัตสัน แห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยศิลปากร ผู้ศึกษาเรื่องจารึกมอญโบราณซึ่งอาจจะบ่งบอกขอบเขตของทวารวดีได้บ้าง โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.พิริยะ ไกรฤกษ์ แห่งมูลนิธิพิริยะ ไกรฤกษ์ ผู้ศึกษาค้นคว้าและมีผลงานหนังสือมากมายว่าด้วยประวัติศาสตร์ไทย เสนอแง่มุมจากด้านประวัติศาสตร์ศิลปะ กับยังได้รับเกียรติจากคุณเวสเลย์ คลาร์ค ผู้ขุดค้นทางโบราณคดีที่พงตึกเมื่อ ร่วม ๔๐ ปีก่อน จนพบหลายหลักฐานสำคัญจะมานำเสนอร่วมด้วย
​สำหรับในประเด็นว่าด้วย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และ เศรษฐกิจแห่งทวารวดี Science, Technology & Economy of Dvāravatī นั้น ดร.แอนนา เบนเน็ต แห่งนครบรัสเซลล์ จะเสนอผลการศึกษาล่าสุดว่าด้วย บทบาทการค้าโลหะเลอค่า โดยมีศาสตราจารย์หลิน หยิง และ หวง เจียซิม นักประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยซุนยัตเซ็น นครกว่างโจว มาร่วมเสนอในประเด็นว่าด้วยทวารวดีที่รับรู้ในสมัยราชวงศ์ถัง ว่าด้วยอินเดียและทะเลใต้(เอเชียตะวันออกเฉียงใต้)
​ที่สำคัญที่สุดคือนอกจากจะมี อาจารย์ภูธร ภูมะธน แห่งชมรมอนุรักษ์เมืองลพบุรี เป็นผู้ปาฐกถานำถึงการทบทวนองค์ความรู้เหล่านี้แล้ว ยังได้รับเกียรติจาก ดร.จอห์น กาย แห่งพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งมหานครนิวยอร์ค ผู้มีบทบาทผลงานอย่างกว้างขวาง ล่าสุดเพิ่งจัดนิทรรศการพิเศษพร้อมจัดพิมพ์หนังสือเล่มสำคัญ ว่าด้วย อาณาจักรที่สาบสูญ (The Lost Kingdom) แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาปาฐกถานำเรื่อง “นิยามแห่งทวารวดี” ในครั้งนี้ โดยมี ดร.ธีรวัต ณ ป้อมเพชร และ อาจารย์สาวิตรี สุวรรณสถิต สองผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมมาเป็นประธานผู้ดำเนินการตลอดรายการ
​อนึ่ง ในการเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติและโบราณสถาน ยังได้รับเกียรติจาก ดร.เอียน โกลฟเว่อร์ และ อ.ภูธร ภูมะธน เป็นวิทยากรนำชม ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร และจากคุณศุภมาส ดวงสกุล ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง นำชมในเมืองโบราณอู่ทองอีกด้วย


เนื้อหาบางส่วน
อู่ทองไปเกี่ยวอะไรอย่างไรกับความเป็นทวารวดี
วัฒนธรรมอินเดียได้แผ่ขยายมาสู่ดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากว่า 4,000 ปีมาแล้ว ตรงกับยุคหินใหม่หรือช่วงสังคมเกษตรกรรมที่มนุษย์เริ่มมีการประดิษฐ์ภาชนะและเครื่องมือเครื่องใช้ แต่ในการติดต่อแลกเปลี่ยนสินค้าทางเส้นทางบกและทางทะเลของประชากรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มปรากฎเด่นชัดในยุคโลหะหรือก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย ราว 2,500 ปี สินค้าจากอินเดียหลั่งไหลเข้ามาในแหล่งโบราณคดีร่วมสมัยทวารวดีในประเทศไทยรวมทั้งดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เด่นชัดมากราวพุทธศตวรรษที่ 5-9 หรือยุคเหล็ก (สมัยอินโด-โรมัน) 2,500-1,500 ปีมาแล้ว
รัฐโบราณแรกรับวัฒนธรรมอินเดีย ที่รู้จักกันดีคือ รัฐฟูนัน เจนละ ทวารวดี และศรีวิชัย
รัฐฟูนัน เป็นรัฐที่มีอาณาเขตกว้างขวางมาก ครอบคลุมปากแม่น้ำโขง (เวียดนามใต้) และแม่น้ำโขงตอนใต้ (กัมพูชา) มีเมืองออกแก้ว (ตะวันออกเฉียงใต้ของเวียดนาม) เป็นเมืองท่า และมีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองเถมู (เมืองวยาธปุระใกล้เขาบาพนมในกัมพูชา) มีความเชื่อมโยงกับเมืองโบราณอู่ทองคือ การขยายอาณาจักรฟูนันในสมัยพระเจ้าฟันซิมันซึ่งสามารถปราบปรามรัฐถึง 10 รัฐ มีนักโบราณคดีได้รวบรวมข้อมูลไว้ว่า รัฐจินหลิน ซึ่งเป็นรัฐสุดท้ายที่พระองค์ทรงปราบได้นั้น น่าจะอยู่บริเวณเมืองโบราณอู่ทอง และครอบคลุมลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและแหลมมลายู
รัฐเจนละ แต่เดิมเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรฟูนัน ต่อมาพระเจ้าภววรมันปฐมกษัตริย์ของเจนละยึดวยาธปุระจากกษัตรย์องค์สุดท้ายของฟูนัน จึงยึดฟูนันและขยายอาณาเขตไปถึงลุ่มแม่น้ำมูลตอนใต้และแม่น้ำโขง มีเมืองจำปาศักดิ์ (ประเทศลาว) เป็นราชธานี ต่อมามีการย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่อีศานปุระ (ตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองกำปงธม กลุ่มโบราณสถานสมโบร์ไพรกุก) ต่อมามีการแบ่งเจนละเป็น เจนละบก และเจนละน้ำ(ฟูนันเก่า) ต่อมาเจนละน้ำถูกชวาตีแตก พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 สรุปได้ว่า อารยธรรมเจนละเป็นทายาทของฟูนัน ซึ่งรับอิทธิพลมาจากอินเดีย
รัฐทวารวดี พื้นที่ด้านตะวันตกของภาคกลางตอนล่างของไทยในบริเวณลุ่มแม่น้ำแควน้อย-แควใหญ่, ลุ่มแม่น้ำแม่กลอง-ท่าจีน ซึ่งครอบคลุมพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี และพื้นที่ด้านตะวันออกบริเวณลุ่มแม่น้ำบางปะกง มีร่องรอยการตั้งถิ่นฐานของชุมชนโบราณในสังคมเกษตรกรรมมาตั้งแต่ช่วง 4,000 ปีมาแล้ว ผู้คนในสมัยโบราณจะกระจายตัวออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มชนบริเวณลุ่มแม่น้ำแม่กลอง-ท่าจีน, กลุ่มชนบริเวณลุ่มแม่น้ำลพบุรี-ป่าสัก, กลุ่มชนลุ่มแม่น้ำบางปะกง มีการติดต่อแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกลุ่มทั้ง 3 กลุ่ม ทั้งทางบกและทางน้ำ และมีการแล่นเรือเลียบชายฝั่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการติดต่อแลกเปลี่ยนสินค้ากับกลุ่มชนในเวียดนามและจีนตอนใต้ และเริ่มติดต่อค้าขายกับกลุ่มประเทศทางตะวันตก โดยเฉพาะประเทศอินเดียและกลุ่มประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียนและเปอร์เซีย การติดต่อค้าขายส่งผลให้ชาวอินเดียที่เป็นพ่อค้าและนักบวชทั้งในศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธติดตามเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ชาวอินเดียได้นำเอาศาสนา ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณีที่เคยปฏิบัติเข้ามาเผยแพร่ โดยเฉพาะวัฒนธรรมของชาวพุทธที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างวัฒนธรรมทวารวดี ส่งผลต่อรูปแบบการตั้งถิ่นฐานของประชากรในลุ่มแม้น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำสายใหญ่ เช่น ลุ่มแม่น้ำแม่กลอง-ท่าจีน, ลุ่มแม่น้ำลพบุรี-ป่าสัก และลุ่มแม่น้าบางปะกง มีการสร้างคูน้ำคันดินล้อมรอบเมืองเพื่อป้องกันน้ำท่วมและเพื่อป้องกันข้าศึก ซึ่งคล้ายคลึงกับรูปแบบการตั้งถิ่นฐานของชาวอินเดียที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณแม่น้ำคงคง-ยมุนา และลุ่มแม่น้ำกฤษณา-โคทาวรี ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย (ยุคเหล็ก) ในยุคดังกล่าวมีการรับเอาระบบเหรียญกษาปณ์ที่ชาวกรีก ชาวโรมันและชาวเปอร์เชีย ซึ่งเคยใช้ในประเทศอินเดียและในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาใช้ จึงพบเหรียญโบราณของอินเดียตามเมืองท่าต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับเมืองโบราณอู่ทองนั้น พุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองต่อมาและกลายเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนารุ่นแรกของรัฐทวารวดีที่รับอิทธิพลจากศูนย์กลางพุทธศาสนาลุ่มแม่น้ำกฤษณา-โคทาวรี
รัฐศรีวิชัย นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ, ผู้เชี่ยวชาญทิศทางลมมรสุมชาวไทย ได้สันนิษฐานว่า ศูนย์กลางอาณาจักรศรีวิชัย อยู่ที่เมืองโบราณไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี และมีนักโบราณคดีชาวอินโดนีเซียมีความเห็นว่า ศูนย์กลางอาณาจักรศรีวิชัยอยู่ที่เมืองจัมบี เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์และโบราณคดีส่วนใหญ่ต่างมีความเห็นว่า รัฐศรีวิชัย เป็นสหพันธรัฐซึ่งมีหลายศูนย์กลาง น่าจะอยู่ในบริเวณภาคใต้ของไทยโดยเฉพาะเมืองไชยา นครศรีธรรมราช และในบางช่วงน่าจะอยู่ที่เกาะสุมาตราบริเวณเมืองปาเล็มบังและเมืองจัมบี


มีการหารือถึง 2 ประเด็นสำคัญคือ
ประเด็นขอบเขตและศาสนาในทวารวดี (Extent and Religion of Dvaravati) และ
ประเด็น วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและเศรษฐกิจแห่งทวารวดี (Science,Technology & Economy of Dvaravati)

   ดร.เอียน โกลฟเวอร์ (Dr.Lan Glover) จากสถาบันโบราณคดี มหาวิทยาลัยลอนดอน กล่าวถึงผลงานวิจัยภาคสนามเกี่ยวกับช่องว่างยุคก่อนทวารวดี The Dvaravati Gap ว่า “ช่องว่างแห่งยุคทวารวดี” นี้ได้มาหลังจากการขุดค้นที่บ้านดอนตาเพชร ในช่วงปี พ.ศ.2523 ซึ่ง ดร.เอียน เคยขุดค้นทางโบราณคดีที่บ้านดอนตาเพชรเมื่อ 30 ปีก่อนในสมัยนั้นเกิดความประหลาดใจในความแตกต่างของวัตถุบางชิ้นที่ขุดขึ้นมาได้นั้น ได้แก่ เครื่องสัมฤทธิ์ เครื่องมือและอาวุธที่ทำมาจากเหล็ก เครื่องปั้นดินเผา ตลอดจนเครื่องแก้วและลูกปัดหิน ซึ่งทำให้นึกถึงวัตถุที่ขุดค้นได้จาก ท่าม่วง โดย วัตสัน และ ลูฟส์ ในช่วงทศวรรษที่หกสิบ (พ.ศ.2503-2512) ซึ่ง ดร.เอียนได้เห็นในลอนดอนและยังรวมถึงวัตถุสมัยทวารวดีที่เก็บสะสมไว้ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินครปฐม และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ทำให้ ดร.เฮียนตระหนักได้ว่า มีช่วงระยะเวลาที่เกิดช่องว่างในการบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุทางวัฒนธรรม ซึ่งต้องการคำอธิบายเพิ่มเติมเพื่อต่อยอดความรู้ร่วมกัน โดยระหว่างการพูด ดร.เอียนได้นำภาพการขุดค้นที่บ้านดอนตาเพชร พบโครงกระดูกและลูกปัดจำนวนมาก มาอธิบาย ซึ่ง ดร.เอียน ยังมีความสนใจเกี่ยวกับการวิจัยการขยายอาณาเขตเพาะปลูกข้าว เทคโนโลยีเกี่ยวกับแก้วกระจกและโลหะในภูมิภาค การเกิดอารยธรรมที่มีอิทธิพลต่ออินเดียในประเทศไทยและเวียดนามและการค้าขายในสมัยโบราณ
    ดร.อุเทน วงศ์สถิตย์ ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ กล่าวในที่ประชุมถึง การล่มสลายของอารยธรรมทวารวดีในยุคโบราณที่มีการกล่าวไว้ในจารึกเขมร K.1198 ว่า อาณาจักรทวารวดีนับว่าหายากยิ่งในจารึกของขอม แต่มีเงื่อนงำแห่งการล่มสลายตามที่ปรากฎในจารึกต่างๆ ที่กษัตริย์เขมรได้โปรดเกล้าให้ทำขึ้นตามแหล่งที่เกี่ยวเนื่องกับทวารวดี เพื่อเป็นการประกอบบทความนี้ โดยเน้นที่จารึก K.1198 หรือ Ka 18 ที่มีบางส่วนของข้อความเป็นภาษาสันสกฤตที่ยังไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่มาก่อน จารึกนี้ได้บันทึก อัตชีวะประวัติเรื่องราวของลักษมีปติวรมัน ผู้ดำรงตำแหน่งขุนศึกในรัชสมัยพระเจ้าสุริยะวรมันที่ 1 การประดิษฐานพระศิวะและการให้ทานต่างๆ โดยเฉพาะกล่าวถึงโศลกบทที่ 20 ว่าด้วยการโปรดเกล้าแต่งตั้งให้ลักษมีปติวรมันดำรงตำแหน่งผู้ปกครองแดนรามัญหรือเมืองมอญ รวมทั้งกล่าวถึง ลวปุระในโศลกบทที่ 27 นับเป็นข้อมูลใหม่ในการบ่งชี้การล่มสลายของทวารวดีที่ชัดเจนขึ้น ข้อมูลดังที่ได้กล่าวมานี้ สอดคล้องกับจารึกเขมรที่พบในที่อื่น ๆ นอกจากนี้ ดร.อุเทน ยังมีความสนใจศึกษาจารึกอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะจารึกไทยและกัมพูชา รวมทั้งพระพุทธศาสนา ปรัชญา อารยะธรรมอินเดีย ภาษาบาลี สันสกฤต เขมร และไทย ซึ่งที่ผ่านมา ดร.อุเทน ได้เดินทางไปศึกษาภาษาสันสกฤตในอินเดียพร้อมทำวิจัยวิทยานิพนธ์ในอินเดียอยู่ 4 ปีครึ่ง ภายใต้หัวข้อชื่อสันสกฤตในจารึกกัมพูชา
ประเทศทวารปติ
   ดร.จอห์น กาย ภัณฑารักษ์แห่งพิพิธภัณฑ์ศิลปะฟลอเรนซ์และเฮอร์เบิร์ตเออร์วิ่งและเอเชียอาคเนย์ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งมหานครนิวยอร์ค กล่าวถึงที่มาแห่งทวารวดีว่า ขอบเขต ชายแดน แห่งทวารวดีเท่าที่มีการกล่าวถึงของพระภิกษุเสวียนจั้งเมื่อปี ค.ศ.645 โดยท่านไม่ได้มาเยือนประเทศทวารปติ แต่ท่านได้รับการบอกเล่าว่าตั้งอยู่ทางตะวันออกของศรีเกษตร ก่อนอีสานปุระ (เจนละ) จนกระทั่งมีพระภิกษุจีนอีกรูปชื่อ "ชื่ออี้จิง" ผู้เดินทางผ่านคาบสมุทรเอเชียอาคเนย์ไปอินเดีย ก็กล่าวถึง "ประเทศทวารปติ" อีก และยังพบบันทึกสมัยราชวงศ์ถังว่ามีคณะฑูตจากทวารปติมาถึงราชสำนักถึง 3 ครั้ง และยังพบอีก 2 จารึกภาษาสันสกฤตถึงการทำทานในพุทธสถานของชนชั้นกษัตริย์แห่งทวารวดี โดยหลังจากนั้นมา คำว่า "ประเทศทวารปติ" ก็หายไป กระทั่งกลับมาปรากฎอีกครั้งในชื่อแรกเริ่มของอาณาจักรอยุธยา โดยพระเจ้าอู่ทองว่า "ทวารวดีศรีอยุธยา" ในต้นศตวรรษที่ 14 ซึ่งบ่งชี้ว่าแม้จะไม่พบจารึกและชื่อนี้ตั้งแต่ช่วงปลายของสหัสวรรษแรก แต่ก็ไม่ได้ถูกลืมและเลือนหายไป

เสมาหินบอกอะไร? เกี่ยวกับขอบเขตเมืองหรือไม่?

   ดร.สตีเฟน เอ เมอร์ฟี่ ภัณฑารักษ์อาวุโสด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่พิพิธภัณฑ์อารยธรรมแห่งเอเชีย ประเทศสิงคโปร์ กล่าวว่า เสาเสมาในพุทธศาสนา ทำด้วยหินขนาดใหญ่มีการแกะสลักเรื่องราวศิลปะในพุทธศาสนา
-พื้นที่ลุ่มน้ำชีพบว่า มีหลายสิ่งบ่งชี้ว่าเกี่ยวพันกับทวารวดีในเขตภาคกลางของไทย
-พื้นที่ลุ่มน้ำมูลและพื้นที่ร่วมกันกับพื้นที่เขมร อาจเป็นของฝ่ายเจนละ
กระทั่งการพบเสมาบนยอดพนมกุเลน ห่างจากนครวัดไป 20 กิโลเมตร ซึ่งเป็นเขาที่มีตำแหน่งของนครมเหนทรปรวัตตะกอ่นการสถาปนะเมืองพระนคร Angkor ซึ่งโดยตำแหน่งแล้วชัดเจนว่า ไม่ได้อยู่ในขอบเขตของทวารวดี
-ขณะที่กลุ่มเสมาที่เมืองสะเทิม ทางตอนใต้ของพม่า น่าจะมีความเป็นไปได้ที่จะเกี่ยวพันกับชนชาวมอญแห่งทวารวดี

จารึกมอญโบราณและขอบเขตของทวารวดี
   มร.ฮันเตอร์ วัตสัน ผู้เชี่ยวชาญพัฒนาการตัวอักษรภาษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งไทย เขมร มอญ สันสกฤต บาลี ที่ได้รับอิทธิพลจากอินเดีย จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ กล่าวว่า จารึกโบราณถือเป็นแหล่งข้อมูลอีกแหล่งหนึ่งที่สามารถย้อนข้อมูลในอดีตได้ ในบรรดาจารึกที่พบในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมทวารวดีนั้น ภาษามอญโบราณถือเป็นภาษาหลักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ใช้จารึกข้อความ ปัจจุบันมีจารึกเก่าแก่ภาษามอญกว่า 100 ชิ้น ที่ได้พบในประเทศไทย แม้จารึกเหล่านี้จะเป็นข้อความสั้น ๆ แต่กระนั้นก็สามารถเข้าใจเกี่ยวกับทวารวดีได้ไม่น้อย
วิหารแห่งพงตึก ในเมืองไทย
   มร.เวสเลย์ คล๊าค ภัณฑารักษ์ผู้จัดการที่พิพิธภัณฑ์คาสเซิ่ล รัฐไอไฮโอ อเมริกา กล่าวว่า แหล่งโบราณคดีพงตึก ในจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งอยู่ในภาคตะวันตกของไทย อยู่ท่ามกลางแหล่งโบราณคดีหลายแห่งที่เกี่ยวเนื่องกับสมัยแรกเริ่มของทวารวดี โดยที่พงตึกนี่เอง เป็นแหล่งแรกที่กรอบความคิดตามข้อเสนอของ ยอร์ช เซเดส์และ เอ็ช.จี.ควอริตช์ เวลส์ ปรากฎเด่นชันเกี่ยวกับทวารวดี ก่อตัวเป็นคุณลักษณะของทวารวดีทั้งด้านวัตถุและวิถีวัฒนธรรม ตั้งแต่ พ.ศ.2551 ซึ่งตนเองก็ไม่ได้หยุดการวิจัยเกี่ยวกับพงตึก และพร้อมจะศึกษาเปรียบเทียบกับนักวิจัยท่านอื่นๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลใหม่ๆ เพิ่มเติมอยู่เสมอ
ร่องรอยทวารวดีในอาณาจักรหริภุญไชย
   คุณเบญจวรรณ พลประเสริฐ ภัณฑรักษ์พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหริภุญไชย กล่าวว่า จังหวัดลำพูน มีหลักฐานการเข้าอยู่อาศัยของมนุษย์ตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์ และมีพัฒนาการเรื่อยมา ซึ่งการพัฒนานี้เป็นผลมาจากวิวัฒนาการของคนในพื้นที่และมีการติดต่อสัมพันธ์กับเอาอารยธรรมภายนอกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาณาจักรทวารวดีและอาณาจักรอื่นๆ คุณเบญจวรรณบอกว่า ลำพังจะใช้เอกสารหลักฐานทางประวัติศาสตร์มายืนยันคงไม่พอ แต่ต้องใช้สหวิทยาการเข้ามาศึกษาทั้งด้านโบราณคดี ศิลปะ วรรณกรรม และภาษาศาสตร์ ซึ่งทำให้รู้รากเหง้าของหริภุญไชยว่าได้รับอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมทวารวดี
ประเด็น วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและเศรษฐกิจแห่งทวารวดี
(Science,Technology & Economy of Dvaravati) สรุปได้ดังนี้

เมื่อทวารวดีขอม้าจากถังไท่จง ว่าด้วยเครื่องบรรณาการจีนสู่เอเชียอาคเนย์
ศาสตราจารย์หลิน หยิง แห่งมหาวิทยาลัยซุนยัตเซ็น จังหวัดกว่างโจว ประเทศจีน กล่าวว่า ทวารวดีขอม้าดีจากราชสำนักจีนในสมัยราชวงศ์ถัง ว่าด้วยหลักฐานบันทึกต่างๆ ในจีนโบราณ โดยเฉพาะในช่วงสมัยราชวงศ์ถัง ความสัมพันธ์กับดินแดนในทะเลใต้ โดยเฉพาะทวารวดี มีการส่งบรรณาการและขอม้าดี ซึ่งมีนัยยะบ่งบอกหลายประการ รวมทั้งความท้าทายที่ต้องศึกษาข้อค้นคว้าเพิ่มเติม โดยทุกวันนี้คุณหลิน หยิง เป็นหัวหน้าแผนงานการศึกษาเกี่ยวกับเหรียญทองคำจำลองและอุตสาหกรรมสิ่งหรูหรามีค่าในสมัยเริ่มไปเซนไทม์ ภายใต้กองทุนการศึกษาวิทยาศาสตร์สังคมแห่งชาติจีน และมีความใส่ใจเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างตะวันออกกับตะวันตกในโลกโบราณและสมัยกลาง
ทองคำ มีบทบาทในการค้ายุคโบราณ
คุณแอนนา ที เอ็น เบนเน็ตต์ ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการบริษัท คอนเซอร์เวชั่น แอนด์ เทคนิคอล เซอร์วิสส์ จำกัด อดีตนักโบราณคดีซึ่งเคยขุดสำรวจภาคสนามที่บ้านดอนตาเพชร จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยลอนดอน และได้เคยประสานงานโครงการบูรณะให้กับหลายพิพิธภัณฑ์ เช่นที่ มาลิบู แคลิฟอร์เนีย โคเปนเฮเกน ลอสแอนเจลิส ลาว เวียดนาม คุณแอนนา กล่าวว่า แร่ทองคำเป็นแร่ที่มีอยู่อย่างแพร่หลาย กระจายไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การแสวงหาวัตถุดิบที่มีค่านี้ เป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวของการติดต่อค้าขายอินเดียและจีนในช่วงต้น รวมไปถึงการเติบโตของการค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศทั้งทางบกและทางทะเล โดยทองได้รับการผูกโยงเข้ากับการแพร่กระจายไปด้วยกันของศาสนาและการค้าในยุคโบราณ

1 ความคิดเห็น:

  1. โครงการบ้านจัดสรรประถมธาราวดีปฐมธาราวดี แล้วตลาดน้ำ จัดพื้นที่โครงการการจัดสรร สำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่เก็งกำไรซื้อเป็นทุนในราคาถูกและจำหน่ายแผงในอนาคตที่เหมาะสมในจังหวัดนครปฐมเริ่มต้น 18 ตารางวาหน้ากว้าง 5 เมตร 50 ทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้นและบ้านเดี่ยวขนาด 50 ตารางวาบ้านแฝด 35 ตารางวาเริ่มต้นจำหน่ายที่ราคา 8 แสน 4 ทุกท่านที่สนใจเตรียมรับมือกับโครงการใหม่ที่เกิดขึ้นหรือสอบถามที่ ดร.สมัย 0948979365
    โครงการตราดน้ำ สมัยทราวดี บ้านปฐมทราวดี จังหวัด นครปฐม (กรณีศึกษา)

    drsamaihemman6.blogspot.com

    สมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 9-11 ) ก่อนที่จะก่อตัวขึ้นเป็นอาณาจักร

    ตอบลบ